โคตรสะเด่า!!! บทสรุป10 ประเด็นหลังจากเกมฟุตบอลโลก นัดชิงชนะเลิศ ที่ตราตรึที่สุดในประวัติศาสตร์

ฟุตบอลโลก อาร์เจนตินา ชนะ ฝรั่งเศส

ฟุตบอลโลก รอบ ชิงชนะเลิศ ในคืนวันอาทิตย์ที่ 18 เดือนธันวาคม 2022 ระหว่างทีม อาร์เจนตินา 3-3 ฝรั่งเศส (อาร์เจนตินา เอาชนะในการดวลลูกจุดโทษ 4-2)

แข่งขันกันที่ สนาม ลูซาอิล ไอคอนิค สเตเดี้ยม

ดิ มาเรีย ฟุตบอลโลก

ข้อสรุป 10 ประเด็น หลังจากจบเกม ฟุตบอลโลก 2022

1. ดิ มาเรีย ที่ฝั่งซ้าย

ลิโอเนล สคาโลนี สร้างเซอร์ไพรส์ในการจัดทีมโดยการส่งเอา อังเคล ดิ มาเรีย ไปประจำการที่กราบซ้ายในหน้าที่ปีกซ้ายคลาสสิค โจมตี ฌูลส์ คุนเด้ และกลายเป็นหมากที่ทำเอา ทีมฝรั่งเศส ออกอาการป้ำๆเป๋อๆย่างเห็นได้ชัด

ดิ มาเรีย มีส่วนกับประตูแรกโดยการเรียกจุดโทษจาก อุสมาน เดมเบเล ให้ ลิโอเนล เมสซี สังหารก่อนที่เจ้าตัวจะเป็นคนแท็ปอินลูกแอสซิสต์ของ อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ เป็นประตู 2-0 ตั้งแต่ก่อนจบครึ่งแรกและน้ำตาที่เจ้าตัวหลั่งออกมาเมื่อทำประตูได้ชี้ให้เห็นว่ามันสำคัญเท่าใดสำหรับดาวเตะวัย 34 ปีรายนี้

เมสซี ฟุตบอลโลก

2. เมสซี สร้างประวัติศาสตร์
ลิโอเนล เมสซี ยังคงเป็นศูนย์กลางในเกมรุกของ อาร์เจนตินา เช่นเคยกับหน้าที่แผงหน้าเคียงข้างกับ ชูเลียน อัลบาเรซ คอยสร้างโอกาสให้กับเพื่อนๆร่วมทีมรวมไปถึงจบสกอร์ด้วยตนเอง

เมสซี ลงเอยด้วยการทำ 2 ประตูใน 120 นาทีและสังหารจุดโทษเป็นคนแรกผ่านมือ อูโก้ ยอริส อย่างเยือกเย็น การทำประตูได้ในนัดชิงแชมป์ทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลคนแรกในประวัติศาสตร์ที่มีชื่อบนสกอร์บอร์ดในทุกรอบของ เวิลด์คัพ ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม, รอบ 16 ทีมสุดท้าย, รอบ 8 ทีมสุดท้าย, รอบรองชนะเลิศ และเกมนัดชิงฯ

โดยหลังจบเกม เจ้าตัวยังได้รับรางวัล โกลเด้นบอล ซึ่งเป็นที่แสดงให้เห็นว่าคือนักเตะที่ดีที่สุดของทัวร์นาเมนต์ และเป็นแข้งคนแรกที่เอารางวัลดังกล่าวได้ 2 สมัย (2014 แล้วก็ 2022)

เอ็นโซ เฟร์นันเดซ

3. เอ็นโซ เฟร์นันเดซ หัวใจที่แดนกลาง
เอ็นโซ เฟร์นันเดซ มิดฟิลด์วัย 21 ปีเป็นแข้งที่ปิดทองหลังพระของ อาร์เจนตินา อีกทั้งในเกมนี้และตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ เจ้าตัวรอบัญชาเกมที่กลางสนามคอยเซ็ตเกมจากแดนมิดฟิลด์และกลายเป็นนักเตะที่ได้สัมผัสบอลมากมายที่สุดในเกมนี้ (118 ครั้ง), ผ่านบอลมากมายที่สุด​ (77 ครั้ง) และเอาชนะในการแทรกเข้าปะทะมากมายที่สุด (10 ครั้ง) โดย เฟร์นันเดซ ยังได้รับรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำ ฟุตบอลโลก 2022 หลังจบเกม

 

4. โรดริโก้ เดอ ปอล คีย์แมนที่ฝั่งขวา
โรดริโก้ เดอ ปอล ขับเคลื่อนเกมที่ฝั่งขวาของ อาร์เจนตินา โดยการเล่นอย่างมีวินัยทั้งในเกมรับและเกมรุกหยุดการประสานงานที่กราบซ้ายของทีมเยือนอย่าง คิลิยัน เอ็มบัปเป้ กับ เตโอ แอร์น็องเดซ อยู่มือในช่วงต้น ทำให้งานของ นาเวล โมลินา เบาลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด มิดฟิลด์สังกัด แอตเลติโก มาดริด รายนี้เป็นหนึ่งในแข้งผู้เป็นทองหลังพระให้กับทัพ ฟ้าขาวอีกราย

5. ชิรูด์-เดมเบเล ถูกถอดออกตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก, กรีซมันน์ บอดสนิท
เกมรุกของ ทีมฝรั่งเศส เงียบสนิทอย่างที่ไม่สามารถเจาะเข้าแดนอันตรายของ อาร์เจนตินา ได้เลยแม้แต่น้อย ชนิดที่โอกาสยิงครั้งแรกของลูกทีม ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ ต้องรอคอยจนถึงนาทีที่ 68

จอมทัพที่แดนกลางของพวกเขาอย่าง อองตวน กรีซมันน์ ถูกตัดออกจากเกมทำให้การลำเลียงบอลของ เลส์ เบลอส์ ไม่ลื่นไหลอย่างเคย เมื่อไร้บอลคิลเลอร์พาสของดาวเตะสังกัด ตราหมี จากแดนมิดฟิลด์ก็ทำให้ทั้ง เอ็มบัปเป้, อุสมาน เดมเบเล และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ แทบไม่มีส่วนร่วมกับเกมเลย

เดส์ช็องส์ ตัดสินใจเด็ดขาดตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งเวลาแรกโดยการถอดเอาทั้ง ชิรูด์ กับ เดมเบเล ออกมาจากสนามแทนที่โดย มาร์คัส ตูราม และก็ ร็องดาล โคโล มูอานี ลงไปปั้นเกมที่ริมเส้นทั้ง 2 ฝั่งและขยับเอา คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ไปเป็นศูนย์หน้าตัวเป้า ก่อนที่ กรีซมันน์ จะถูกถอดออกจากสนามในนาทีที่ 71 แทนที่โดยหนึ่งในแข้งที่เปลี่ยนโมเมนตัมของเกมอย่าง คิงสลีย์ โกม็อง

6. โกม็อง ตัวสำรองจุดประกาย
คิงสลีย์ โกม็อง ลงมาประจำการที่ริมเส้นฝั่งขวาพร้อมกันการที่ทีมเปลี่ยนรูปแบบมาใช้งานแผน 4-4-2 เมื่อเกมเหลือเวลาอีกราว 20 นาทีสุดท้าย โกม็อง สร้างความหวือหวาที่เกมรุกฝั่งขวาอย่างเห็นได้ชัดจากทักษะการนำบอลไปด้วยตนเองและความแข็งแกร่งของร่างกาย เขากลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญพาทีมตามตีเสมอ 2-2 ในนาทีที่ 81 เมื่อเป็นคนตัดบอลจากเท้าของ เมสซี ได้ที่กลางสนาม ก่อนจะก่อให้เกิดการโจมตีอย่างเร็วจากขวาไปซ้ายสู่ มาร์คัส ตูราม และจบด้วยการวอลเลย์สุดสวยของ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ส่งให้เกมไม่จบสิ้นต่อเนื่องถึงการต่อเวลาพิเศษ

เอ็มบัปเป้ เมสซี

7. ตอนเวลาของ เอ็มบัปเป้

79 นาทีที่ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ แทบล่องหนไปจากเกม ก่อนที่เจ้าตัวจะจบลงด้วยการตะบันแฮตทริคเสร็จเมื่อสิ้นเสียงนกหวีดจบเกม ตัวรุกวัย 23 พังประตูตีไข่แตกจากลูกจุดลูกโทษที่สังหารไม่พลาดในนาทีที่ 80 ก่อนที่จะเอี้ยวตัววอลเลย์เป็นประตูตีเสมออีก 1 นาทีถัดมา ต่อลมหายใจของทีม ตราไก่ ไปจนกระทั่ง เขายังเป็นคนรับหน้าที่สังหารลูกจุดโทษในช่วงท้ายของการต่อเวลาพิเศษในสถานการณ์ที่ทีมต้องการประตูเพื่อตามตีเสมออีกด้วย

โดย เอ็มบัปเป้ กลายเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่สามารถซัลโวแฮตทริคได้ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก นับตั้งแต่ที่ เจฟฟ์ เฮิร์สท์ ทำเป็นกับ อังกฤษ ใน เวิลด์คัพ 1966 และก็เจ้าตัวยังลงเอยด้วยรางวัลดาวซัลโวสูงสุดที่ 8 ประตู นับเป็นแข้งคนแรกตั้งแต่เมื่อ โรนัลโด้ นาซาริโอ ที่ทำประตูสัมผัสหลักดังกล่าวใน 1 ทัวร์นาเมนต์ (2002)

8. ความมันส์ชนิดใส่ไข่ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ถึงแม้พนันเกมนี้จะสูงลิบลิ่วเมื่อมีโทรฟีแชมป์โลกตั้งอยู่ตรงหน้า แต่ทั้ง 2 ทีมเดินหน้าแลกหมัดกันชนิดไม่มีใครยอมใคร ไร้ซึ่งการดึงเวลาเพื่อไปตัดสินที่การดวลลูกจุดลูกโทษ ความพยายามของ อาร์เจนตินา สำเร็จผลก่อนในนาทีที่ 108 เมื่อ เลาตาโร มาร์ติเนซ หลุดไปยิงยัดใส่ อูโก้ ยอริส ทุบบอลมาเข้าทาง เมสซี ตามซ้ำดาบสองในระยะเผาขนไม่พลาด ก่อนที่ทีม ฟ้าขาว จะพลาดท่าทำแฮนด์บอลในกรอบจุดโทษกลายเป็นลูกจุดลูกโทษให้ เอ็มบัปเป้ สังหารผ่าน เอมิเลียโน มาร์ติเนซ เป็นครั้งที่ 3 ในนาทีที่ 118 ส่งผลให้เกมยาวต่อเนื่องไปจนถึงการดวลลูกจุดลูกโทษ

ฟุตบอลโลก ลูกจุดโทษ

9. ลูกจุดโทษชี้ขาดกับเกมที่ไม่ควรมีผู้ใดพ่ายแพ้
ผลจากการเสมอกันในเวลา 120 นาที 3-3 ทำให้ทั้ง 2 ทีมต้องดวลจุดโทษชี้ขาดเพื่อตัดสินแชมป์ รวมทั้งกลายเป็น อาร์เจนตินา ที่แม่นเป้ากว่ายิงเข้าทั้งหมด 4 ลูก (เมสซี, ดิบาลา,​ ปาเรเดส และ มอนเทียล) โดยที่ มาร์ติเนซ รับบทวีรบุรุษเซฟลูกยิงของ ประเทศฝรั่งเศส 1 ครั้ง (ไม่เข้ากรอบ 1 ครั้ง)

ขณะที่ทีมชาติ ฝรั่งเศส ยิงเข้าเพียงแค่ 2 จาก 4 คนที่ทำหน้าที่สังหารได้แก่ เอ็มบัปเป้ (เข้า), โกม็อง (ไม่เข้า), ชูอาเมนี (ไม่เข้า), โคโล มูอานี (เข้า)

นับเป็นบทสรุปที่น่าเห็นใจเหล่าแข้ง ตราไก่ ไม่น้อยเมื่อพวกเขาก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดทั้ง 120 นาที ยืนแลกหมัดดวลกับพลพรรค ฟ้าขาว ได้สมน้ำสมเนื้อจำพวกที่ถ้าถ้วยแชมป์ ฟุตบอลโลก ตกมาอยู่ในมือของพวกเขาก็ไม่เคอะเขินแต่อย่างใด ขณะที่ อาร์เจนตินา ก็ได้เขียนตอนจบที่สมบูรณ์แบบเติมเต็มเส้นทางการค้าแข้งของนักเตะระดับตำนานอย่าง ลิโอเนล เมสซี

เมสซี คว้ารางวัล นักเตะยอดเยี่ยม

10. ขึ้นหิ้งหนี่งในเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกอันตรึงตรา

ตลอดเส้นทางการดูฟุตบอลในช่วงชีวิตของนักเขียน เกมนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2022 ระหว่าง อาร์เจนตินา กับ ประเทศฝรั่งเศส ขึ้นแท่นเป็นแมตช์ฟุตบอลที่ตรึงตราที่สุด รวมทั้งอาจจะกลายเป็นเกมที่น่าประทับใจที่สุดตลอดไปสำหรับใครหลายๆคน

บรรยากาศถูกโหมโรงตั้งแต่ชื่อชั้นของเหล่าแข้งดังของทั้งสองทีม นักฟุตบอลชูโรงพลุกพล่านชนิดที่แฟนบอลขาจรคุ้นตา เกมที่บาดใจกันด้วยแท็คติกตั้งแต่การจัดตัวออกสตาร์ท โมเมนตัมที่กลายเป็นของ อาร์เจนตินา อยู่ฝั่งเดียวตลอด 79 นาทีแรกก่อนที่ ฝรั่งเศส จะฉกฉวยโอกาสในนาทีที่ 80 แล้วก็ 81 ส่งเกมยืดเยื้อจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ

อดรีนาลีนสูบฉีดชนิดนั่งแทบไม่ติดในช่วงท้ายเกมของการทดเวลาบาดเจ็บ ก่อนที่การยืนปักหลักแลกกันคนละหมัดนำมาสู่การได้ประตูของ อาร์เจนตินา ในนาทีที่ 108 และการตามตีเสมอของ ฝรั่งเศส นาที 118 ยิ่งทำให้อารมณ์ล้นทะลักชนิดอิจฉาเหล่าแฟนบอลในสนาม ลูซาอิล 80,000 กว่ารายที่ได้สัมผัสบรรยากาศจริง

เกมจบลงด้วยการดวลลูกจุดโทษในแบบที่ฝ่ายใดสามารถได้แชมป์ไปครองได้ก็คู่ควรด้วยกันทั้งนั้น และราวกับตอนจบของบทละครที่ถูกเขียนเอาไว้ให้ ลิโอเนล เมสซี กลายเป็นนักเตะที่สมบูรณ์แบบ เจ้าตัวเติมเต็มถ้วยรางวัลในตู้โชว์ของเขาเองด้วยโทรฟีแชมป์โลกในวัย 35 ปีกับ เวิลด์คัพ ครั้งสุดท้าย

Lena Wheeler

Learn More →