ฝรั่งเศส ได้เริ่มการป้องกันแชมป์ด้วยฟอร์มสุดยอดไล่ยิงแซงชนะ ออสเตรเลีย 4-1 ในการแข่งขันกลุ่ม ดี ฟุตบอลโลก 2022 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ฟุตบอลโลก กรุ๊ป ดี ระหว่างทีมฝรั่งเศส 4 – และทีมออสเตรเลีย 1 แข่งขันกันที่สนาม อัล จานูบ สเตเดียม, อัล วากราห์
ฝรั่งเศสที่มีปัญหาบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนักในช่วงเตรียมตัว ส่ง อุสมัน เดมเบเล่, อองตวน กรีซมันน์, คีลียัน เอ็มบั๊ปเป้ และ โอลิวิเย่ร์ ชีรูด์ ประสานงานในเกมรุกร่วมด้วยกัน ส่วน ออสเตรเลีย นำโดย อารอน มอย
เริ่มต้นเกมมาแค่ 9 นาที ออสเตรเลีย ทำช็อกขึ้นนำก่อน 1-0 มิทเชลล์ ดุ๊ค เกี่ยวบอลหนีตัวประกบได้ทางฝั่งขวาก่อนจะเปิดเข้ากลางเลยถึงเสาไกล เคร็ก กู๊ดวิน กดด้วยซ้ายเข้าไปไม่พลาด
ในสถานการณ์ของฝรั่งเศสดูไม่สู้ดี แถมนาที 13 ต้องเปลี่ยนตัวคนแรกเมื่อ ลูกัส แอร์กน็องเดซ บาดเจ็บเล่นต่อไม่ไหวต้องส่งน้องชายอย่าง เตโอ แอร์กน็องเดซ เล่นแทน
นาทีที่ 22 ตราไก่เกือบโดนอีกเมื่อ เตโอ แอร์กน็องเดซ ไปเสียบอลในแดนตัวเอง มิทเชลล์ ดุ๊ค เก็บได้ก่อนตัดสินใจยิงไกลระยะไม่ต่ำกว่า 35 หลา แต่ว่าบอลหลุดกรอบไปแค่นิดเดียว
ฝรั่งเศส ตามตีเสมอ 1-1 ได้สำเร็จในนาทีที่ 27 เตโอ แอร์กน็องเดซ หยอดบอลเข้าเขตโทษให้ อาเดรียง ราบิโอต์ สอดมาโขกระยะ 10 หลาเข้าไป
อีก 5 นาทีต่อมา ฝรั่งเศส แซงนำ 2-1 อาเดรียง ราบิโอต์ ไล่แย่งบอลทางซ้ายโดยมี เอ็มบั๊ปเป้ ชิ่งให้อีกทีก่อนหลุดเข้าเขตโทษแล้วปาดให้ โอลิวิเย่ร์ ชีรูด์ แปโล่งๆ เข้าไป
ตราไก่ได้ลุยหนัก อุสมาน เดมเบเล่ และ กรีซมันน์ ต่างก็ได้ลุ้นยิงแต่ไม่เข้ากรอบ และนาทีสุดท้ายก็เกือบได้อีกครั้ง กรีซมันน์ ดีดบอลถวายพานให้ คีลียัน เอ็มบั๊ปเป้ กระโดดฟาดจ่อๆ ทว่าซัดบอลข้ามคานเหลือเชื่อ
แต่ช่วงทดบาดเจ็บ ออสเตรเลีย ก็มีโต้ได้เสียวสุดๆ เหมือนกัน ไรลีย์ แม็กกรี ลุยถึงเส้นหลังฝั่งซ้ายก่อนเปิดให้ กู๊ดวิน คนทำประตูแรกได้โหม่งย้อน แต่บอลเช็ดเสาออกหลังไป ทำให้จบครึ่งทางแรก ฝรั่งเศส นำ 2-1
ครึ่งหลังนาทีที่ 50 ฝรั่งเศสก็เกือบได้อีกครั้ง เตโอ แอร์กน็องเดซ เปิดบอลจากซ้ายเข้าเขตโทษให้ ชีรูด์ กระโดดฟาดด้วยซ้ายสวยงามแต่บอลหลุดเสาออกหลังไป
ตราไก่พลาดได้ประตูอีกครั้งในนาที 67 เตโอ แอร์กน็องเดซ ทำชิ่งกับ เอ็มบั๊ปเป้ ก่อนปาดบอลจากซ้ายไปให้ กรีซมันน์ ได้ยิงด้วยซ้าย แต่ว่ามีตัวคุมเส้นเคลียร์บอลทิ้งหวุดหวิด
แต่นาทีต่อมา สกอร์ก็เป็น 3-1 จนได้ อุสมาน เดมเบเล่ เก็บบอลฝั่งขวาก่อนหยอดเข้าเขตโทษ เอ็มบั๊ปเป้ ขึ้นโขกระยะ 6 หลาส่งบอลเช็ดเสาสองเข้าประตูไป
สกอร์ห่างเป็น 4-1 ในนาที 72 คีลียัน เอ็มบั๊ปเป้ กระชากลุยทางซ้ายก่อนเปิดโด่งเข้าเขตโทษ โอลิวิเย่ร์ ชีรูด์ โขกจ่อๆ ไม่พลาด เป็นประตูที่ 2 ในนัดนี้และทาบสถิติตลอดกาลทีมชาติ 51 ประตูของ เธียร์รี่ อองรี เป็นที่เรียบร้อย
เวลาที่เหลือ ฝรั่งเศส ปิดเกมได้เยี่ยมและเกือบได้อีกลูกจากการโหม่งของ อิบราฮิมา โกนาเต้ แต่ว่าติดเซฟ ทำให้จบเกมเอาชนะ ออสเตรเลียไป 4-1 นำจ่าฝูงของกลุ่มได้สำเร็จ
รายชื่อผู้เล่นทั้ง2ทีม
ฝรั่งเศส : อูโก้ โยริส – เบนฌาแม็ง ปาวาร์, อิบราฮิมา โกนาเต้, ดาโยต์ อูปาเมกาโน่, ลูกัส แอร์กน็องเดซ – โอเรเลียง ชูอาเมนี่, อาเดรียง ราบิโอต์ – อุสมาน เดมเบเล่, อองตวน กรีซมันน์, คีลียัน เอ็มบั๊ปเป้ – โอลิวิเย่ร์ ชีรูด์
ออสเตรเลีย : แม็ตต์ ไรอัน – เนธาเนียล แอตกินสัน, แฮร์รี่ ซูททาร์, คาย โรว์ส, อาซิซ เบฮิช – อารอน มอย – เคร็ก กู๊ดวิน, ไรลีย์ แม็กกรี, แจ็คสัน เออร์ไวน์, แม็ทธิว เล็กกี้ – มิทเชลล์ ดุ๊ก
ผู้ตัดสิน : วิคเตอร์ โกเมส (แอฟริกาใต้)
ฝรั่งเศส ฟุตบอลทีมชาติ
เป็นตัวแทนของทีมฟุตบอลจากฝรั่งเศสและก็เป็นทีมชั้นนำทีมหนึ่งในทวีปยุโรป ซึ่งมีผลงานชนะเลิศฟุตบอลโลก 2 สมัย (1998 และ 2018), ชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2 สมัย (1984 และ 2000), ชนะเลิศ ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2 สมัย (2001 และ 2003) และชนะเลิศยูฟ่าเนชันส์ลีก 1 สมัยใน ค.ศ. 2021
ฝรั่งเศสมีสนามเหย้าคือ สตาดเดอฟร็องส์ ผจก.ทีมคนปัจจุบันคือ ดีดีเย เดช็อง ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในสี่ชาติของยุโรปที่ได้ร่วมแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1930 ถัดมาอีก 28 ปี ฝรั่งเศสภายใต้ผู้เล่นชื่อดังอย่าง เรมง โกปา และ ฌุสต์ ฟงแตน พาทีมคว้าอันดับ3ในฟุตบอลโลก 1958 ต่อมา ในปี 1984 ฝรั่งเศสได้คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ยูโร) ได้เป็นสมัยแรกภายใต้นักเตะชื่อดัง มิเชล พลาตินี่ และทีมชุดนั้นยังผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกได้อีกสองสมัย พวกเขาเข้าสู่ยุคทองในช่วงทศวรรษ 2000 ในยุคของนักเตะชื่อดัง ซีเนดีน ซีดาน และกัปตันทีม ดีดีเย เดช็อง โดยได้คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1998 ในฐานะเจ้าภาพ ตามด้วยแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2000 และแชมป์ ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2001 และ 2003 และผ่านเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกอีกครั้งในปี 2006
ก่อนจะผ่านเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 และกลับสู่ความสำเร็จได้อีกครั้งจากการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ตามด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่าเนชันส์ลีก เป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 2021 ฝรั่งเศสยังเป็นชาติแรกที่ชนะการแข่งขันรายการสำคัญของฟีฟ่าครบทั้ง 3 รายการ ได้แก่ ฟุตบอลโลก ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ และกีฬาโอลิมปิก (คว้าเหรียญทอง) และยังเป็นชาติเดียวในโลกที่ชนะการแข่งขันของฟีฟ่าและยูฟ่าครบทุกรายการ ทั้งในฐานะทีมชาติชุดใหญ่และทีมชุดเยาวชน
ฝรั่งเศส ประวัติทีม
ทีมชาติฝรั่งเศสจัดตั้งทีมขึ้นมาในช่วง ค.ศ. 1904 ในช่วงที่สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 21 พ.ค. ค.ศ. 1904
โดยลงเล่นในเกมอย่างเป็นทางการนัดแรกกับเบลเยียมในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1904 ซึ่งเกมดังกล่าวจบลงด้วยผลเสมอ 3–3 ในขณะที่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1905
ฝรั่งเศสได้ลงเล่นในเกมระดับชาติในสนามของตนเองอย่างเป็นทางการในเกมที่พบกับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ที่สนามปาร์กเดแพร็งส์ ต่อหน้าผู้ชมราวๆ 500 คน และพวกเขาเอาชนะไปได้ 1–0
ใน ค.ศ. 1932 ฝรั่งเศสได้เข้าร่วมแข่งขันในฟุตบอลโลกที่จัดขึ้นที่อุรุกวัย โดยเกมแรกในรายการนี้ของฝรั่งเศสคือถล่มทีมชาติเม็กซิโก 4–1 โดยลูว์เซียง โลร็อง ที่เป็นผู้ยิงประตูแรกของเกม กลายเป็นนักเตะที่ทำประตูแรกสุดของศึกฟุตบอลโลกอีกด้วย แต่ฝรั่งเศสกลับแพ้ 0–1 ใน 2 เกมต่อมากับอาร์เจนตินาและชิลี ทำให้ต้องตกรอบแรก
ในปี ค.ศ. 1934 ฝรั่งเศสก็คงต้องผิดหวังต่อไป เมื่อได้ตกรอบแรกจากการแพ้ออสเตรีย แต่พวกเขาทำผลงานได้ดีขึ้นในครั้งที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลก 1938 โดยผ่านไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศก่อนจะแพ้ให้กับอิตาลี 1–3
ในยุคทศวรรษที่ 1950 นับเป็นยุคทองของวงการฟุตบอลของฝรั่งเศส จากการแจ้งเกิดของนักเตะชื่อดังอย่างฌุสต์ ฟงแตน เจ้าของตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของฟุตบอลโลก และแรมง กอปา ตำนานดาวยิงที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับเรอัลมาดริด ใน ค.ศ. 1958 ฝรั่งเศสสามารถคว้าอันดับ 3 จากการถล่มทีมชาติเยอรมนีตะวันตก 6–2 โดยฟงแตนยิงคนเดียว 4 ประตู
เข้าสู่ทศวรรษที่ 1980 ฝรั่งเศสกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งจากการนำทัพของมีแชล ปลาตีนี ตัวทำเกมจอมเทคนิค และสามสุดยอดกองกลางอย่างฌ็อง ตีกานา, อาแล็ง ฌีแร็ส และลูยส์ แฟร์น็องแดซ ที่ประสานงานร่วมกันจนถูกขนานนามว่า สี่เหลี่ยมมหัศจรรย์ (Magic Square) พวกเขาพาทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จในศึกยูโร 1984 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ โดยปลาตีนีได้เป็นดาวซัลโวของรายการด้วยการยิงไปถึง 9 ประตู รวมถึงหนึ่งในประตูในเกมที่ชนะสเปน 2–0 ในนัดชิงชนะเลิศ
นอกเหนือจากนี้ ในปีเดียวกัน ฝรั่งเศสยังสามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิก 1984 ก่อนที่จะคว้าแชมป์รางวัลอาร์เตมีโอ ฟรังกี (คอนเฟเดอเรชันส์คัพในปัจจุบัน) ในปีถัดมาทำให้พวกเขาได้รับการยกให้เป็นทีมเต็งในฟุตบอลโลก 1986 แต่ทำได้แค่อันดับ 3 ด้วยการแพ้เบลเยียม 2–4